Update : 17 Feb 2011
ควรหลีกเลี่ยงสารระคายเคืองต่างๆ ที่อาจทำให้อาการภูมิแพ้กำเริบได้แก่ ควันบุหรี่ ควันท่อไอเสีย กลิ่นฉุน น้ำหอม ควันธูปและฝุ่นละอองจากแหล่งต่างๆ...
สถานการณ์ของโรค
สถานการณ์ของโรคภูมิแพ้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนทั้งทั่วโลกและในประเทศไทย จากการสำรวจในประเทศไทยพบว่ามีอุบัติการณ์ เพิ่มขึ้น 3 – 4 เท่า ภายในระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมา ขณะนี้ประเทศไทยมีอุบัติการณ์ของโรคภูมิแพ้โดยเฉลี่ยดังนี้ คือ โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ร้อยละ 23-30 โรคหลอดลมอักเสบจากภูมิแพ้หรือโรคหืดร้อยละ 10-15 โรคผื่นผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ร้อยละ 15 และโรคแพ้อาหารร้อยละ 5 โดยอุบัติการณ์ในเด็กจะสูงกว่าในผู้ใหญ่คือพบเด็กที่มีภาวะโพรงจมูกอักเสบ จากภูมิแพ้ร้อยละ 40 โรคภูมิแพ้นั้นถ้าไม่ได้รับการรักษาจะทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยแย่กว่าคนปกติ เช่น การเกิดอาการคัดจมูก ในเวลากลางคืนทำให้นอนอ้าปากหายใจ จึงตื่นมาด้วยอาการปากแห้ง รู้สึกเหมือนนอนหลับไม่สนิท สมาธิสั้น ถ้าอาการเหล่านี้เกิดขึ้นในเด็กก็อาจทำให้มีปัญหาการหลับในเวลาเรียน ความคิดความจำสั้น เรียนและทำงานได้ไม่เต็มที่ และอาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนตามมาได้เช่น ไซนัสอักเสบ ริดสีดวงจมูก หูชั้นกลางอักเสบ นอนกรน
โรคภูมิแพ้คืออะไร
โรคภูมิแพ้คือโรคที่เกิดจากการตอบสนองของร่างกายต่อสารกระตุ้นที่ในภาวะปกติ แล้วจะไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายเช่น ไรฝุ่น ละอองเกสรพืช แล้วเกิดการตอบสนองอย่างมากผิดปกติ ทำให้เกิดการอักเสบในอวัยวะที่สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้นั้น เช่นถ้าเป็นโรคภูมิแพ้ทางจมูกเมื่อเราหายใจเข้าไปทางจมูก สารก่อภูมิแพ้จะไปสัมผัสกับเยื่อบุโพรงจมูกแล้วทำให้เกิดการอักเสบในโพรง จมูกเกิดอาการคัดจมูก จาม มีน้ำมูกใสๆ คันจมูก ถ้าเป็นโรคหืดเมื่อหายใจเอาสารก่อภูมิแพ้เข้าไปถึงหลอดลมก็จะทำให้เกิดการอักเสบของหลอดลมแล้วหลอดลมก็จะตอบสนองด้วยการหดเกร็งเกิดอาการของหลอดลมตีบขึ้น อาจใช้เวลาก่อนเกิดอาการเป็นนาทีหรือเป็นชั่วโมงก็ได้ในคนที่เป็นโรคภูมิแพ้มักมีแนวโน้มที่จะเกิดการตอบสนองไวกว่าปกติต่อสิ่งกระตุ้นที่ไม่ใช่สารก่อภูมิแพ้ได้ เช่น ความเย็น ความร้อน ความกดอากาศต่ำ หรือฝน ความชื้น ซึ่งภาวะนี้อาจอยู่นานเป็นวันหรือเป็นเดือนก็ได้และสามารถเกิดอาการได้โดยไม่จำเป็นต้องสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้
สาเหตุของโรคภูมิแพ้
เกิดจากพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม โดยพบว่าถ้าบิดาหรือมารดาเป็นโรคภูมิแพ้จะทำให้บุตรมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ประมาณร้อยละ 30-50 แต่ถ้าทั้งบิดาและมารดาเป็นโรคภูมิแพ้จะมีผลให้บุตรมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้นถึงร้อยละ 50-70 ในขณะที่เด็กที่มาจากครอบครัวที่ไม่มีประวัติโรคภูมิแพ้เลย มีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้เพียงร้อยละ 10 เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่สามารถแก้ไขปัจจัยทางพันธุกรรมได้ ดังนั้นการกำจัดและหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้และสารระคายเคืองต่างๆเช่น ควันบุหรี่ ไรฝุ่น ในผู้ป่วยและครอบครัวที่เป็นโรคภูมิแพ้ (ซึ่งมีความเสี่ยงสูง) จะสามารถลดอาการของโรคหรือป้องกันไม่ให้เกิดโรคภูมิแพ้ขึ้นได้
ชนิดของโรคภูมิแพ้ที่พบบ่อย
สามารถแบ่งตามระบบของร่างกายออกได้เป็น 4 กลุ่มคือ
1. โรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ
2. โรคภูมิแพ้ทางผิวหนัง
3. โรคภูมิแพ้ทางตา
4. โรคภูมิแพ้ชนิดรุนแรงที่มีอาการหลายระบบ (anaphylaxis)
ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจซึ่งพบบ่อยและเป็นปัญหามากที่สุด
โรคโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้หรือโรคแพ้อากาศ
อาการของโรคภูมิแพ้ทางจมูกอาจแบ่งได้เป็น 4 ชนิดคือ ชนิดแรกเป็นชนิดที่มีอาการเด่นทางน้ำมูก คือจะมีน้ำมูกใสไหล จาม คันจมูก ชนิดที่สองมีอาการเด่นทางอาการคัดจมูกเป็นหลักมักไม่มีน้ำมูกและอาการจาม ชนิดที่สามจะมีอาการของ 2 ชนิดแรกรวมกัน คือมีทั้งน้ำมูกใสและอาการคัดจมูก ส่วนชนิดสุดท้ายจะมีอาการที่วินิจฉัยยากถ้าผู้ตรวจไม่มีความชำนาญอาจวินิจฉัยผิดได้ กลุ่มนี้อาจมีอาการ ไอเรื้อรังหรือกระแอม ซึ่งเกิดจากเสมหะไหลหรือซึมลงคอ อาจรู้สึกมีเสมหะติดคอเวลาเช้าได้ บางคนมีอาการปวดหัวเรื้อรัง นอนกรน หรือถอนหายใจบ่อยๆ ปากแห้ง บางคนมีอาการคันหัวตา โดยไม่มีอาการตาแดงอธิบายว่าเกิดจากการที่มีเยื่อจมูกบวมมากทำให้ท่อน้ำตา ที่อยู่ติดกันอักเสบ เกิดอาการคันที่หัวตาอย่างมาก
การวินิจฉัยโรคนี้สามารถทำได้จากการซักประวัติอย่างละเอียด โดยเฉพาะประวัติโรคหรืออาการภูมิแพ้ภายในครอบครัว การสังเกตตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการ รวมทั้งสภาพลักษณะการทำงาน สภาพแวดล้อมภายในบ้าน ที่ทำงาน การตรวจร่างกายบางอย่างถ้าพบก็จะมีประโยชน์ในการวินิจฉัยโรคเช่น การมีขอบตาล่างบวมคล้ำ การตรวจภายในโพรงจมูกจะช่วยบอกถึงความรุนแรงของการอักเสบ และอาจบอกถึงโรคในโพรงจมูกที่มีผลต่อการรักษาโรคภูมิแพ้ได้ เช่นอาจพบการซีดหรือมีสีแดงจัดจากการอักเสบ ปัญหาสำคัญที่เราพบได้ในผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้ทางจมูกที่แพทย์และผู้ป่วย มักนึกไม่ถึงคือการที่มีผู้ป่วยโรคนี้จะมีโรคหืดร่วมด้วยประมาณ 1 ใน 3 ดังนั้นในผู้ที่มีอาการโรคภูมิแพ้ทางจมูกทุกคนจะต้องซักประวัติอาการของโรคหืดด้วยเสมอ
โรคหืด
อาการของผู้ป่วยขณะที่จับหืดคือ มีอาการแน่นหน้าอก หายใจหอบเหนื่อย หายใจดังหวีด มักมีอาการเป็นๆหายๆ หรือในกรณีที่มีอาการมากอาจมีอาการทุกคืน อาการอาจบรรเทาได้ด้วยยาขยายหลอดลมแต่ก็มักควบคุมอาการได้เฉพาะช่วงแรกๆ ต่อมามักต้องใช้ยาบ่อยขึ้นและมากขึ้น บางครั้งโรคหืดอาจแสดงอาการเพียงแต่อาการไอกลางคืน หรือไอเรื้อรังโดยไม่มีเสียงหวีดหรืออาการแน่นหน้าอกก็ได้ทำให้การวินิจฉัย ยากขึ้น บางครั้งก็มีอาการแน่นหน้าอกเฉพาะช่วงออกกำลังกาย แต่ที่มักถูกมองข้ามเกือบเสมอๆคือไม่ได้นึกถึงโรคภูมิแพ้ทางจมูก ซึ่งสามารถพบร่วมกันได้มากกว่าร้อยละ 70-80 ซึ่งการให้การรักษาอาการของโรคหืดอย่างเดียวโดยไม่รักษาโรคภูมิแพ้ทางจมูก ด้วยจะทำให้ควบคุมอาการไม่ดีเท่าที่ควร
การวินิจฉัยที่แน่นอนคือการตรวจวัดสมรรถภาพปอด ซึ่งนอกจากจะช่วยในการวินิจฉัยโรคแล้วยังช่วยประเมินความรุนแรงของโรคอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามการตรวจโดยวิธีนี้ทำได้ค่อนข้างยากในผู้ป่วยเด็กที่มีอายุ น้อยกว่า 7 ปี กรณีที่ไม่มีเครื่องทดสอบสมรรถภาพปอดอาจใช้เครื่อง peak flow meter ซึ่งมีราคาถูกกว่าและมีประโยชน์ในการประเมินอาการของโรคกรณีที่ไม่สามารถ ตรวจสไปโรเมตรีย์ได้ วิธีการเป่า peak flow คือให้ผู้ป่วยยืนหรือนั่งตัวตรงแล้วสูดหายใจเข้าเต็มปอด และเป่าออกอย่างแรงและเร็วที่สุด ควรเป่าอย่างน้อย 3 ครั้งและใช้ค่าที่ดีที่สุดมาใช้ ซึ่งในเด็กมีสูตรในการคำนวณค่าที่ควรจะเป็นโดยที่สูตรมีความสัมพันธ์กับส่วน สูง ดังนี้
PEFR = %ส่วนสูง (เซนติเมตร) ×5% -400 ลิตร/นาที
ถ้าเป่าได้น้อยกว่าร้อยละ 80 ของค่าที่ควรจะเป็นให้สงสัยว่ามีภาวะหลอดลมส่วนล่างอุดกั้น เมื่อให้ยาขยายหลอดลมแล้วเป่าซ้ำภายใน 15 นาทีแล้วได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 12 แสดงว่าน่าจะมีการตอบสนองที่ดีต่อยาขยายหลอดลม (reversible airway obstruction) ซึ่งเป็นลักษณะที่สำคัญของโรคหืด นอกจากนี้การใช้ peak flow meter ยังมีประโยชน์ในการติดตามความรุนแรงของภาวะหืดอีกด้วยเพื่อพิจารณาปรับยาในการรักษา
แต่งโดย : ศ.นพ. เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม
สมาคมโรคภูมิแพ้ โรคหืด และวิทยาภูมิคุ้มกันแห่งประเทศไทย