Update : 17 Feb 2011
ริดสีดวงจมูก คือการที่เยื่อบุจมูกหรือไซนัสมีการอักเสบและบวมจนยื่นออกมาเป็นก้อน ทำให้โพรงจมูกและไซนัสแคบ...
ริดสีดวงจมูก (Nasal Polyps)
ริดสีดวง จมูก คือการที่เยื่อบุจมูกหรือไซนัสมีการอักเสบและบวมจนยื่นออกมาเป็นก้อนทำให้โพรงจมูกและไซนัสแคบ ริดสีดวงจมูกนี้เป็นก้อนเนื้องอกในโพรงจมูกชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดและเป็น โรคทางจมูกและไซนัสที่สร้างปัญหาให้กับทั้งตัวผู้ป่วยเอง และแก่แพทย์ผู้ทำการรักษา ซึ่งได้แก่ปัญหาเรื่องการเกิดเป็นซ้ำและการเกิดไซนัสอักเสบร่วมด้วย ทำให้เกิดความเข้าใจทั้งในหมู่ประชนทั่วไปและในหมู่แพทย์เองว่ารักษาไม่หาย ผู้ป่วยบางรายได้รับการผ่าตัดหลายครั้งก็ยังเกิดเป็นซ้ำได้อีก
สาเหตุ
จนถึงปัจจุบันสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดริดสีดวงจมูกยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด อย่างไรก็ตามมีปัจจัยสำคัญ 3 ประการที่อาจมีส่วนในการเกิดริดสีดวงจมูก ได้แก่
1. การอักเสบเรื้อรังและการติดเชื้อซึ่งกลับเป็นซ้ำบ่อยๆของเยื่อบุจมูกและเยื่อบุไซนัส ซึ่งมีผลทำให้เกิดการบวมของเยื่อบุ
2. ความผิดปกติของการตอบสนองของระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของหลอดเลือดและภาวะความไวเกินของหลอดเลือดที่มาเลี้ยงเยื่อบุจมูกและเยื่อบุไซนัส ทำให้เกิดการบวมของเยื่อบุ
3. ความผิดปกติของกระแสลมที่ผ่านเข้าไปบริเวณซึ่งเป็นต้นตอของริดสีดวงจมูก ได้แก่ บริเวณโพรงจมูกส่วนกลาง และบริเวณรูเปิดของไซนัส
ริดสีดวงจมูกที่เกิดขึ้นโดยมีความสัมพันธ์หรือเกิดร่วมกับโรคอื่นๆ
ริดสีดวงจมูกอาจเกิดร่วมกับโรคอื่นๆ หรืออาจเป็นผลที่เกิดจากการอักเสบซึ่งสัมพันธ์กับโรคเหล่านั้น หรือเป็นผลที่เกิดท้ายสุดของโรค ซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าริดสีดวงจมูกอาจเกิดจากสาเหตุหลายๆประการ โรคที่พบว่ามีริดสีดวงจมูกเกิดร่วมด้วยได้แก่ โรคหืดในผู้ใหญ่ชนิดที่เกิดและไม่ได้เกิดจากภูมิแพ้ ภาวะการแพ้ยาแอสไพริน ไซนัสอักเสบเรื้อรัง เยื่อบุจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ และชนิดไม่แพ้
อุบัติการณ์
การศึกษาเรื่องความชุกของโรคริดสีดวงจมูกในประชากรทั่วไปมีน้อยมาก เท่าที่มีตัวเลขในรายงานก็แตกต่างกันไปแล้วแต่วิธีการสำรวจ รายงานในประเทศสหรัฐอเมริกาพบร้อยละ 1-4 สำหรับในประเทศไทยไม่มีการสำรวจความชุกของโรคริดสีดวงจมูก ในหมู่ประชากรทั่วไป ในระหว่างปีพ.ศ. 2540-2542 ที่แผนกผู้ป่วยนอก ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา โรงพยาบาลศิริราช พบผู้ป่วยที่เป็นริดสีดวงจมูกร้อยละ 2.6 ของผู้ป่วยหู คอ จมูกทั้งหมด ส่วนใหญ่พบมากในผู้ใหญ่อายุระหว่าง 20-40 ปี ในเด็กพบได้น้อยมาก
อาการแสดง
เมื่อริดสีดวงจมูกมีขนาดโตขึ้นจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการคัดแน่นจมูก ซึ่งจะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆอาจมีอาการจามหรือน้ำมูกได้ ซึ่งอาจมีลักษณะใส ขุ่นข้น เหนียวหรือมีสีเหลืองเขียว ผู้ป่วยอาจได้รับกลิ่นน้อยลงหรือไม่ได้กลิ่น ในรายที่มีไซนัสอักเสบร่วมด้วยอาจมีน้ำมูกเสมหะเหลืองเขียวไหลลงคอ อาจมีอาการปวดตื้อบริเวณแก้มหรือสันจมูก ปวดหรือมึนศีรษะ เจ็บคอเรื้อรัง ไอหรือกระแอมบ่อย ระคายคอ แสบคอ และหูอื้อได้
การวินิจฉัยโรค
อาศัยอาการและอาการแสดงดังกล่าว โดยเฉพาะการตรวจจมูกและโพรงหลังจมูก ในรายที่สงสัยว่ามีไซนัสอักเสบร่วมด้วยอาจส่งถ่ายภาพรังสีของไซนัสร่วมด้วย ในรายที่ตรวจร่างกายธรรมดาแล้วเห็นไม่ชัด อาจพิจารณาส่องกล้องตรวจภายในโพรงจมูก
การรักษาผู้ป่วยที่มีริดสีดวงจมูก
เป้าหมายของการรักษา มีดังนี้
1. กำจัดริดสีดวงจมูกหรือทำให้ริดสีดวงจมูกมีขนาดเล็กลง
2. ทำให้จมูกโล่งขึ้นและหายใจทางจมูกได้
3. ไม่มีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล คัน จาม หรือเสมหะไหลลงคอ
4. ดมกลิ่นได้ปกติ
5. รักษาไซนัสอักเสบ (ถ้ามีร่วมด้วย) โดยการให้ยาและหรือการผ่าตัด
6. รักษาโรคที่เกิดร่วมกับริดสีดวงจมูกหรือภาวะที่เป็นปัจจัยส่งเสริม หรืออาจเป็นสาเหตุของริดสีดวงจมูกเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำของริดสีดวงจมูก
โดยทั่วไปวิธีการรักษาริดสีดวงจมูกแบ่งเป็น 4 วิธี คือ
1. ยาสเตียรอยด์ชนิดพ่นจมูก
ยาสเตียรอยด์ชนิดพ่นจมูกเป็นยาที่ใช้ในการรักษาริดสีดวงจมูกที่มีการศึกษาแล้วว่าได้ผลดีและปลอดภัย โดยยาจะช่วยลดขนาดของริดสีดวงจมูกและป้องกันไม่ให้มีขนาดโตขึ้นแต่อย่างไรก็ตามผู้ป่วยบางรายไม่ตอบสนองต่อการใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดพ่นจมูก ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุได้แก่ ยาไม่สามารถกระจายเข้าไปในโพรงจมูกได้เต็มที่ เนื่องจากมีริดสีดวงจมูกอยู่เต็มจมูก หรือในผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อเช่น ไซนัสอักเสบร่วมด้วย อาจมีน้ำมูกเหลืองข้นคาอยู่ในโพรงจมูก ถึงแม้ว่าการใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดพ่นจะได้ผลดีในการรักษาริดสีดวงจมูกแต่ริดสีดวงจมูกก็ไม่ได้ยุบหายไปหมด ดังนั้นหลังจากการใช้สเตียรอยด์ชนิดพ่นจมูกระยะหนึ่งแล้ว ถ้ายังมีริดสีดวงจมูกเหลืออยู่และอาการผู้ป่วยยังไม่ดีขึ้น ควรผ่าตัดเอาริดสีดวงจมูกออก
2. ยาสเตียรอยด์ชนิดกินหรือฉีด
การใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดกินหรือฉีดร่วมกับยาสเตียรอยด์ชนิดพ่นจะทำให้อาการผู้ป่วยดีขึ้นมากและขนาดของริดสีดวงจมูกเล็กลงอย่างชัดเจนและทำให้การได้รับกลิ่นดีขึ้นด้วย ลดจำนวนผู้ป่วยที่ต้องรักษาโดยการผ่าตัดได้ ขนาดของยาสเตียรอยด์สามารถลดลงได้เรื่อยๆ โดยที่อาการทางจมูกของผู้ป่วยยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ดีแต่อาจจะไม่สามารถทำให้ ริดสีดวงจมูกหมดไปได้ นอกจากนั้นยาสเตียรอยด์ยังช่วยลดการกลับเป็นซ้ำของริดสีดวงจมูกได้ด้วย ดังนั้นการให้ยาสเตียรอยด์ถือเป็นการรักษาหลักสำหรับริดสีดวงจมูก
3. การทำผ่าตัดเอาริดสีดวงจมูกออกแบบธรรมดา (simple polypectomy)
การผ่าตัดเอาริดสีดวงจมูกออกอาจจะใช้วิธีดั้งเดิมคือ การใช้ลวดคล้องและดึงออกมาเป็นการผ่าตัดเอาริดสีดวงจมูกออกเท่านั้นไม่ได้ผ่าตัดเข้าในไซนัส พบว่าการกลับเป็นซ้ำของริดสีดวงจมูกหลังจากผ่าตัดวิธีนี้อยู่ในเกณฑ์ค่อน ข้างสูง
4. การผ่าตัดริดสีดวงจมูกและไซนัสด้วยการใช้กล้อง (endoscopic sinus surgery)
ผลการผ่าตัดรักษาริดสีดวงจมูกด้วยการใช้กล้องนั้น ส่วนใหญ่จะได้ผลดีถึงดีมาก โดยได้ผลสำเร็จร้อยละ 80 ขึ้นไป การผ่าตัดริดสีดวงจมูกและไซนัสด้วยกล้องในที่นี้ประกอบด้วย การตัดเอาริดสีดวงจมูกออกร่วมกับการผ่าตัดบริเวณรูเปิดไซนัสให้โล่ง การผ่าตัดด้วยกล้องจะมีข้อดีกว่าในแง่ประสิทธิภาพของการรักษาริดสีดวงจมูก เมื่อเทียบกับการทำผ่าตัดเอาริดสีดวงจมูกออกแบบธรรมดาโดยสรุปการผ่าตัดโดยการใช้กล้องเป็นทางเลือกที่ดีในการผ่าตัดรักษาริดสีดวง จมูกควรเลือกใช้การผ่าตัดด้วยกล้องหลังจากให้การรักษาด้วยยาเต็มที่แล้วแต่ อาการผู้ป่วยไม่ดีขึ้น ในรายที่มีริดสีดวงจมูกเต็มโพรงจมูกอาจใช้การผ่าตัดเอาริดสีดวงจมูกออกแบบ ธรรมดาก่อน แล้วจึงให้การรักษาด้วยยาอย่างเต็มที่เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3-6 เดือน ถ้าไม่ได้ผลดีเท่าที่ควรจึงให้การรักษาด้วยการผ่าตัดโดยการใช้กล้อง หลังผ่าตัดก็จะต้องติดตามผู้ป่วยและให้การรักษาด้วยยาต่อเนื่องไป โดยการปรับขนาดของยาสเตียรอยด์ชนิดกินและพ่นให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการรักษาริดสีดวงจมูก
แต่งโดย : ศ.นพ. เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม
สมาคมโรคภูมิแพ้ โรคหืด และวิทยาภูมิคุ้มกันแห่งประเทศไทย